ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังพยายามฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทจัดอันดับเครดิตระดับโลกอย่างมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s) ได้ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่มุมมองเชิงลบ (Negative) จากเดิมที่มีเสถียรภาพ (Stable) ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แสดงความคิดเห็นต่อการตัดสินใจของมูดี้ส์ว่าเป็นการตัดสินที่เร็วเกินไปและค่อนข้างแปลกประหลาด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาแก้ไขปัญหาภาษีตอบโต้การค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน รัฐมนตรีพาณิชย์เน้นย้ำว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าสู่การเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
“สิ่งที่น่าสงสัยคือ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9% มูดี้ส์กลับคงอันดับเครดิตของไทยไว้ แต่มาในช่วงนี้ที่การส่งออกของไทยกำลังฟื้นตัวและขยายตัวอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือนติดต่อกัน กลับมีการปรับลดอันดับลง” นายพิชัยกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ามูดี้ส์อาจจะมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดของเศรษฐกิจไทย และควรที่จะทบทวนการคาดการณ์ของตนเองว่ามีความแม่นยำมากน้อยเพียงใด
รัฐมนตรีพาณิชย์ยังได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สอดคล้องในการประเมิน หากมูดี้ส์ใช้เกณฑ์การปรับลดอันดับเครดิตของไทยจากอัตราภาษีตอบโต้ที่คาดว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บที่ระดับ 36% ก็ควรที่จะต้องปรับลดอันดับเครดิตของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่อยู่ในสถานการณ์คล้ายคลึงกัน
ในขณะเดียวกัน นายพิชัยได้แสดงความหวังต่อการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจัดขึ้นในช่วงบ่ายวันที่ 30 เมษายน ว่าควรจะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวของไทย
“จากการหารือกับรัฐมนตรีการค้าของมาเลเซียครั้งก่อน ผมได้รับคำถามว่าทำไมเศรษฐกิจไทยไม่ดี แต่เงินบาทกลับแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และแข็งค่ามากกว่าช่วงที่ไทยเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้งเสียอีก” นายพิชัยกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงกับค่าเงินบาทในปัจจุบัน
การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกไทยในตลาดโลก ขณะที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่างก็มีนโยบายรักษาค่าเงินให้อยู่ในระดับที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคการส่งออกของตน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงอาจเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อค่าเงินบาท และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
นอกจากนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์ยังได้ชี้แจงเกี่ยวกับแผนการกู้เงินของรัฐบาลจำนวน 5 แสนล้านบาทว่า เป็นเพียงกรอบวงเงินกู้สูงสุดที่รัฐบาลอาจพิจารณาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้หมายความว่าจะมีการกู้เงินเต็มจำนวนหรือใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับการชำระหนี้โดยไม่เกิดปัญหา
ในสถานการณ์ปัจจุบัน การส่งออกของไทยถือเป็นแสงสว่างที่สำคัญของเศรษฐกิจ โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และคาดการณ์ว่าในปีนี้การส่งออกจะเติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 2-3% ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ความท้าทายสำคัญในขณะนี้คือการสร้างความสมดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความไม่แน่นอนในเวทีการค้าระหว่างประเทศ การปรับลดอันดับเครดิตโดยมูดี้ส์อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในการทบทวนและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความท้าทายในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
การเจรจากับสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นภาษีตอบโต้การค้าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการส่งออกของไทยในอนาคตอันใกล้ ความสำเร็จในการเจรจาจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
ท้ายที่สุด การตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงินเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะเป็นการส่งสัญญาณว่าประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว มากกว่าการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทในระยะสั้น
การปรับลดอันดับเครดิตของไทยโดยมูดี้ส์อาจเป็นเพียงความท้าทายชั่วคราว หากประเทศไทยสามารถรักษาแนวโน้มการเติบโตของการส่งออก ประสบความสำเร็จในการเจรจากับสหรัฐฯ และมีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เหมาะสม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่อันดับเครดิตจะได้รับการปรับปรุงในอนาคต ซึ่งจะเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว